Switch Mode

บทที่ 1 ชายตาบอดขายหนังสือในเมืองอันหนิง

“ดูจากโหงวเฮ้งของเจ้าผู้นี้แล้ว ภายในแฝงไว้ด้วยมังกรซ่อนตน อนาคตต้องได้ทะยานสู่ฟ้าเป็นแน่แท้!

ข้าคำนวณฟ้าดิน รู้ล่วงหน้าได้ห้าร้อยปี รู้อนาคตได้อีกห้าร้อยปี หากทำนายผิด ก็ไม่ต้องจ่ายเงินสักเหรียญ!”

ชายชราตาบอดคนหนึ่งลูบเครามันเยิ้มของตน พลางทำท่าเหมือนผู้รู้เหนือโลก พูดพร่ำไม่หยุดกับชายหนุ่มตรงหน้า ซึ่งแต่งตัวมอมแมม ใบหน้าเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยคราบสกปรก

เสี่ยวเฉินแคะจมูกแล้วเขย่งเท้าขึ้นมองเต๋าแก่ตรงหน้า
“คุณลุงพูดถึงข้าเหรอ?” เสี่ยวเฉินที่ใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งถามขึ้น

“หนุ่มน้อย ดูนี่สิ! ข้ามีคัมภีร์อมตะเล่มหนึ่ง เป็นของล้ำค่าที่มีไว้เพื่อผู้มีวาสนาเท่านั้น ขายแค่หนึ่งหรือสองตำลึงเงินเอง หากเจ้าฝึกสำเร็จ วันหน้าได้เป็นจอมยุทธ์ กอบกู้แผ่นดินเชียวนะ!”

ชายตาบอดกล่าวพลางน้ำลายกระเด็นพราว มือหนึ่งถือหนังสือเก่าขาดเหลืองกร่ำไปด้วยกาลเวลา หน้าปกเต็มไปด้วยลวดลายหลากสีราวกับเล่านิยายขายฝัน

เสี่ยวเฉินกลอกตาใส่ชายชรา “อย่ามาหลอกข้าเลย หนังสือขาดๆ เล่มเดียวจะกล้าขอถึงหนึ่งตำลึงเงิน ทำไมไม่ไปปล้นเอาล่ะ!”

“ของล้ำค่าต้องคู่ควรกับคนมีวาสนา! น้องชายผู้นี้กับสมบัตินี้ช่างมีบุญสัมพันธ์กันจริงๆ จะพูดเรื่องเงินก็ฟังดูไร้รสนิยมไปหน่อย เอางี้เถอะ ร้อยเหรียญทองแดงก็พอ!”

ชายตาบอดพูดต่อไม่หยุด ปั้นน้ำเป็นตัวหลอกเสี่ยวเฉินสุดชีวิต

มีคนจำนวนหนึ่งยืนมุงดูอยู่รอบๆ ต่างมองชายตาบอดเฒ่าด้วยรอยยิ้มขบขันในแววตา

“เงินเฟื้องเดียวก็ยังแพงไป! จะขายไหมล่ะ?” เสี่ยวเฉินพูดพลางเอื้อมมือไปคว้าหนังสือขาดๆ ของชายตาบอดมาเปิดดู ข้างในเป็นตัวหนังสือกับภาพวาดบนกระดาษเก่าเหลืองกร่ำ แต่เสียดายที่เสี่ยวเฉินอ่านออกแค่ไม่กี่ตัว

ชายตาบอดถึงกับกระตุกมุมปาก น้ำเสียงเจ็บใจสุดขีด “น้องชายเอ๋ย ห้าสิบเหรียญนี่ต่ำสุดแล้วนะ นี่มันของล้ำค่าเชียวนะ!”

เสี่ยวเฉินโยนเงินเฟื้องเดียวทิ้งไว้บนโต๊ะ คว้าหนังสือวิ่งหนีไปทันที พลางหัวเราะเยาะชายตาบอดเสียงดังว่า
“ยังจะกล้าขอห้าสิบเหรียญอีกเหรอ! ขนสักเส้นยังไม่มีติดตัวเลย!”

ไม่พอแค่นั้น ตอนวิ่งหนีไปยังถอดกางเกงโชว์ก้นขาวๆ สะบัดใส่อีกต่างหาก

ชายตาบอดถึงกับลืมตาโพลง แกล้งตาบอดต่อไม่ไหวแล้ว ตะโกนไล่หลังไปว่า
“เจ้าลูกบ้านไหนวะ! ถ้าข้าจับได้ จะฟาดให้หลังลายเลย!”

ฝูงชนที่มุงดูกันอยู่หัวเราะกันครื้นเครงทันที

ชายตาบอดที่ทำทีเป็นคนตาบอดก็หน้าแดงด้วยความอาย พึมพำกับตัวเองพลางเก็บร้านจากไป
“วันนี้ออกจากบ้านไม่ได้ดูฤกษ์ดูยามเลย ถึงได้เจอแต่เรื่องซวย!”

ทางด้านเสี่ยวเฉิน แอบหลบมุมในตรอก เปิดดูหนังสือเก่าเหลืองในมือแล้วบ่นพึมพำ
“อะไรกัน หนังสือขาดๆ ยังสู้หนังสือเล็กๆ ในบ้านหวังซิ่วไฉไม่ได้ด้วยซ้ำ จะบ๊วยอะไร ศิลปะอะไร เหล่านักปราชญ์ก็มีแต่เรื่องเหลวไหล หญิงชายลักลอบกันทั้งนั้น… แต่เล่มนั้นสนุกจริงนะ หาโอกาสต้องขโมยมาอ่านให้ได้!”

พูดจบก็ถ่มน้ำลายหนึ่งที ก่อนจะโยนหนังสือเก่าทิ้งลงพื้น

แต่ผ่านไปไม่นาน เสี่ยวเฉินก็ย้อนกลับมาเก็บหนังสือขึ้นมาเหน็บไว้ที่เอว พร้อมบ่นอีกว่า
“ถึงจะขาดๆ แต่เอาไว้เข้าห้องน้ำก็ยังดีกว่าหินกับกิ่งไม้ล่ะวะ!”

จากนั้นเสี่ยวเฉินก็เดินเล่นไปถึงบ้านเศรษฐีหลิว วันนี้ลูกชายคนโตของเศรษฐีหลิวแต่งงาน ได้ยินมาว่าเจ้าสาวงามมาก

เสี่ยวเฉินคิดอยากหาอะไรติดไม้ติดมือกินสักหน่อย จึงรีบมุดเข้าไปในบ้านเศรษฐีหลิว

“ขอแสดงความยินดีปีใหม่ด้วยขอรับ เถ้าแก่หลิว!” เสี่ยวเฉินร้องทักเสียงดังไปทางคุณหลวงสมุด พลางเบียดตัวเข้าไป

คุณหลวงสมุดขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นเสี่ยวเฉิน “วันนี้เป็นวันมงคลของคุณชายหลิว จะมาหากินก็พอได้ แต่ห้ามก่อเรื่องล่ะ!”

คุณหลวงสมุดผู้นี้เป็นปราชญ์เฒ่าของเมือง หาเลี้ยงชีพด้วยการสอนหนังสือและทำบัญชีในเมือง ส่วนเสี่ยวเฉินเองก็มักจะแอบฟังวิชาที่ท่านสอนบ่อยๆ

ได้ยินคำเตือนของคุณหลวงสมุด เสี่ยวเฉินก็ยิ้มแฉ่งตอบกลับไปว่า
“อาจารย์พูดเช่นนี้ ข้าน้อยย่อมรู้มารยาทดีอยู่แล้วขอรับ!”

คุณหลวงสมุดได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ไปๆ อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายก็พอ”

แต่ในตอนนั้นเอง ก็มีคนข้างๆ เริ่มแฉประวัติของเสี่ยวเฉินขึ้นมา
“เจ้าเด็กเวรนี่น่ะหรือจะเชื่อฟัง? ตอนงานแต่งบ้านโจวก็เคยแอบไปฟังเสียงข้างห้องเจ้าสาว แล้วยังไปซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงเจ้าบ่าวทั้งคืน สุดท้ายยังขโมยรองเท้าปักลายของเจ้าสาวอีก!”

ได้ยินคำกล่าวหา เสี่ยวเฉินถึงกับหน้าแดง หน้าอกแน่นไปหมด มองเขม็งไปทางหลี่ลาวเอ๋อร์ที่พูดแฉ
“หลี่ลาวเอ๋อร์! ถ้าไม่อยากให้ข้าไปขโมยไก่ที่บ้านเจ้า ก็หยุดป้ายสีข้าเสียที!”

หลี่ลาวเอ๋อร์จ้องกลับ “กล้าขโมยดูสิ! ข้าหักขาเจ้าแน่!”

เสี่ยวเฉินก็ทำท่ากระเง้ากระงอด ยืดอกพูดเสียงดังเลียนแบบคำสอนของท่านอาจารย์
“สามสิบปีฝั่งเหอทง อย่าดูถูกเด็กหนุ่มยากจน! วันหนึ่งพวกเจ้าที่ชอบดูแคลนข้าจะได้รู้รสชาติ!”

ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบๆ ได้ฟังก็พากันหัวเราะขบขันกับท่าทางของเจ้าตัวแสบ

เสี่ยวเฉินเดินเข้าไปในลานบ้านเศรษฐีหลิว เดินเตร่ไปเรื่อยเปื่อย รู้ตัวดีว่าคงไม่ได้ร่วมกินโต๊ะเลี้ยงแน่ เลยกะจะปะปนกับฝูงชนหาของกินติดมือกลับบ้านสักก้อนสองก้อน

แต่ยังไม่ทันจะได้เห็นหน้าเจ้าสาว เสี่ยวเฉินก็รู้สึกปวดท้องจี๊ดขึ้นมา
“ว่าแล้วเชียว… เมื่อคืนไปกินของเซ่นในศาลทูทูเข้า ท่านทูทูลงโทษจริงด้วยสิ”

ในห้องส้วม เสี่ยวเฉินหยิบหนังสือเก่าจากเอวขึ้นมาเปิดดู จ้องมองภาพวาดในเล่มพลางลองร่ายท่าทางตามมือ
“เฮอะ หนังสือเฮงซวยอะไรเนี่ย ไร้สาระจริงๆ”

ลองทำท่าทางอยู่พักเดียวก็เบื่อ

โครม!
อยู่ๆ ก้อนหินก้อนหนึ่งก็ลอยทะลุกำแพงมาฟาดเข้าที่หัวของเสี่ยวเฉินเต็มๆ

เสี่ยวเฉินสะดุ้งโหยงจนตกลงไปในหลุมส้วม

พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นท้ายทอยของหลี่ลาวเอ๋อร์ที่วิ่งหนีไป
“โอ๊ย… เจ็บหัวชะมัด” เสี่ยวเฉินลูบหัวตัวเอง เลือดหยดเปื้อนลงบนหนังสือเก่าเล่มนั้น

แล้วจู่ๆ หนังสือขาดๆ กลับส่องแสงเจ็ดสีออกมา เสี่ยวเฉินรีบยกมือขึ้นบังตา

พอลืมตาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองหลุดออกจากห้องส้วมมาอยู่ในสถานที่ประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

เสี่ยวเฉินนั่งงงๆ มองไปรอบตัว รู้สึกอุ่นวาบๆ ขึ้นมาจากก้น

พอก้มลงมองก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่เหนือหมอกเมฆเบื้องล่าง เบื้องหน้าคือทิวทัศน์ภูเขาแม่น้ำสุดลูกหูลูกตา

เขารีบรูดกางเกงขึ้น แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับราวความฝัน

“นี่ข้าตายแล้วหรือ?” เสี่ยวเฉินตบแก้มตัวเองด้วยความงุนงง แต่เจ็บจริงจนต้องเบิกตาโพลง

“เฮ้ย… ยังไม่ตาย! งั้นนี่ไม่ใช่ฝันสิ?” เสี่ยวเฉินพึมพำปลอบใจตัวเอง แต่ในใจก็ยังสับสนไม่หาย

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงเย็นเยียบดั่งลมหนาวฤดูเหมันต์กระซิบเข้าหู

“กำลังเปิดใช้งานระบบเต๋าสวรรค์ โปรดลงนามสัญญาเข้าสู่ระบบ และเลือกความสามารถของท่าน”

เสี่ยวเฉินนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองคงเจอกับภูตผีหรือปีศาจเข้าแล้วแน่ๆ

พอหันไปมอง ก็เห็นหนังสือเรืองแสงล่องลอยกลางอากาศ ตัวหนังสือแน่นขนัดส่องแสงระยับ

เสี่ยวเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงเอื้อมมือไปแตะหนังสือเล่มนั้น

ติ๊ง!
เสียงหนึ่งดังขึ้น แล้วทันใดนั้น เสี่ยวเฉินก็ถูกดึงเข้าสู่มิติสีขาวเจิดจ้า

“นี่… เจ้าคือใคร?” เสี่ยวเฉินถามเสียงสั่นเครือ

แต่เมื่อมองไปที่กล่องสีเงินสะท้อนเงา เขาก็พบว่าใบหน้าเปรอะเปื้อนของตนเองสะท้อนอยู่ในนั้น

“โฮสต์ไม่ต้องตกใจ ท่านได้เปิดใช้งานระบบเต๋าสวรรค์แล้ว รับความสามารถสุ่ม พร้อมเข้าสู่เส้นทางเซียนอมตะ วิถีเก้าผันสู่นิรันดร์เซียน”

เสียงเย็นยะเยียบดังขึ้นอีกครั้ง

แล้วแสงสีขาวก็ค่อยๆ ห่อหุ้มตัวเสี่ยวเฉินไว้

เสี่ยวเฉินหลับตาลงภายใต้แสงเจิดจ้า รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างแทรกซึมเข้าสู่สมอง

เขารู้สึกว่ากำลังสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจบรรยายได้ การติดต่อข้ามกาลเวลาและข้ามความตาย

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ประหลาดอีกแห่ง รอบตัวว่างเปล่า ไม่มีทั้งตะวัน จันทรา หรือดวงดาว มีเพียงแสงลอยผ่านไปมาและกำแพงโลหะสีเงินสว่าง

เสี่ยวเฉินมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้างุนงง

“โฮสต์ได้ลงนามสัญญาแล้ว ยินดีต้อนรับสู่ระบบเต๋าสวรรค์ ที่นี่คือพื้นที่ส่วนตัวของท่าน”

เสียงระบบเย็นชาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

ระบบเต๋าสวรรค์ : วิถีเก้าผันสู่นิรันดร์เซียน

ระบบเต๋าสวรรค์ : วิถีเก้าผันสู่นิรันดร์เซียน

สถานะ: Ongoing

เด็กกำพร้าคนหนึ่งได้รับ ระบบเต๋าสวรรค์ ออกเดินทางไปยังดาวเคราะห์ต่างๆ ตามภารกิจของระบบ เฝ้าชมความรุ่งเรืองของอารยธรรมมากมาย พบเจอสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์ และเติบโตขึ้นจนกลายเป็นผู้พิทักษ์สวรรค์และหมื่นโลก

เทพ คืออะไร?
มนุษย์ คืออะไร?
ปีศาจ คือสิ่งใด?
ความดีคืออะไร?
อารยธรรมคือสิ่งใด?
แดนสุขาวดีอยู่ที่ไหนกันแน่!

นิยายแนะนำ

Options

not work with dark mode
Reset